วันศุกร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2559

เมืองโบราณ จ.สมุทรปราการ เที่ยวช่วงปิดเทอม

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เมืองโบราณ
เมืองโบราณ
    เมืองโบราณ ตั้งอยู่ที่ตำบลบางปูใหม่ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ บริเวณหลักกิโลเมตรที่ 33 ถนนสุขุมวิท (สายเก่า) ห่างจากตัวจังหวัด 8 กิโลเมตร มีพื้นที่ประมาณ 800 ไร่ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่รวบรวมสถานที่สำคัญด้านศิลปวัฒนธรรมของประเทศไทย และเป็นแหล่งรวบรวมศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านที่นับวันจะสูญหายไปจากสังคมยุคใหม่
ภายในเมืองโบราณมีการจำลองสร้างโบราณสถาน ปูชนียสถาน วัดโบราณ พระราชวัง ต่างๆ ให้มีขนาดเล็กลง หรือบางแห่งเท่าแบบจริง เช่น เขาพระวิหาร ปราสาทหินพนมรุ้ง วัดมหาธาตุสุโขทัย พระพุทธบาทสระบุรี พระธาตุเมืองนคร พระธาตุไชยา เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีส่วนรังสรรค์ซึ่งเป็นสถานที่สะท้อนให้เห็นถึงภูมิปัญญาของไทย
ลักษณะพื้นที่ของเมืองโบราณมีรูปร่างคล้ายขวานเหมือนกับอาณาเขตของประเทศไทย ซึ่งเมืองโบราณได้แบ่งพื้นที่จัดแสดงออกเป็นส่วนต่างๆ คือ ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคอีสาน ภาคตะวันออก ภาคใต้ และส่วนรังสรรค์
ภาคเหนือ
  • ประตูวัดโพธิ์ประทับช้าง พิจิตร
  • สวนไกรทอง
  • พระปรางค์วัดจุฬามณี พิษณุโลก
  • วิหารสุโขทัย
  • เทวโลก
  • ป้อมเมืองกำแพงเพชร
  • ตลาดน้ำ
  • วิหารวัดพร้าว ตาก
  • เจดีย์ยอดทรงดอกบัว
  • ศาลาร้องทุกข์ สุโขทัย
  • เนินปราสาท สุโขทัย
  • วิหารหลวงวัดมหาธาตุ สุโขทัย
  • พระมหาธาตุเจดีย์ สุโขทัย
  • สวนพระลอ แพร่
  • หอคำ ลำปาง
  • เจดีย์จามเทวี ลำพูน
  • วัดจองคำ ลำปาง
  • วิหารเมืองสะเมิง
  • เจดีย์เจ็ดยอด เชียงใหม่
  • วิหารวัดเชียงของ เชียงราย
  • โบสถ์น้ำ
  • หมู่บ้านไทยภาคเหนือ
  • พระธาตุจอมกิตติ เชียงราย
  • วิหารวัดภูมินทร์ น่าน
  • ปรางค์ศรีเทพ เพชรบูรณ์
  • เทวรูปสวมหมวกแขก

  • ภาคกลาง
    • สวนขวา
    • ท้องพระโรงกรุงธนบุรี
    • พระพุทธรูปทวารวดี
    • เรือนทับขวัญ (เรือนทวารวดี)
    • คุ้มขุนแผน
    • อนุสรณ์สถานสงครามยุทธหัตถี
    • อนุสรณ์สถานกรมพระราชวัง บวรมหาสุรสิงหนาท
    • ด่านเจดีย์สามองค์ กาญจนบุรี
      • พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท กรุงเทพฯ
      • เรือนต้น
      • วิหารพระศรีสรรเพชญ อยุธยา
      • พระที่นั่งจอมทอง
      • พระที่นั่งสรรเพชญปราสาท
      • สวนรามเกียรติ์
      • พระตำหนักคำหยาด อ่างทอง
      • หอพระแก้ว
      • สวนขุนช้างขุนแผน
      • พระปรางค์ยอดกลีบมะเฟือง ชัยนาท
      • มณฑปพระพุทธบาท สระบุรี
      • กุฏิพระสงฆ์
      • พระปรางค์สามยอด ลพบุรี
      • วิหารวัดโพธิ์เก้าต้น สิงห์บุรี
      • อนุสรณ์สถานชาวบ้านบางระจัน
      • หมู่บ้านไทยภาคกลาง
      • ศาลหลักเมือ
      ภาคอีสาน
      • พระเจดีย์ศรีสองรัก เลย
      • มณฑปพระพุทธบาทยืน อุตรดิตถ์
      • ยมกปาฏิหาริย์
      • พระธาตุบังพวน หนองคาย
      • ศาลเทพารักษ์
      • ผาแดงนางไอ่
      • พระธาตุนารายณ์เจงเวง สกลนคร
      • วิหารล้านช้างและหอไตร
      • พระธาตุพนม นครพนม
        • ปราสาทพระวิหาร ศรีสะเกษ
        • พระนอน
        • หอนางอุษา
        • พิพิธภัณฑ์ชาวนา
        • พระธาตุยาคู กาฬสินธุ์
        • กู่คูมหาธาตุ
        • ปราสาทหินหนองกู่ ร้อยเอ็ด
        • สวนสังข์ทอง
        • กุฏิวิปัสสนา
        • พระพุทธรูปนาคปรก
        • บ้านโซ่ง
        • พระธาตุสามหมื่น ชัยภูมิ
        • ปราสาทหินพิมาย นครราชสีมา
        • ปราสาทหินพนมรุ้ง บุรีรัมย์
        • ศาลาแปดเหลี่ยม
        • กวนเกษียรสมุทร
        • ปราสาทศรีขรภูมิ สุรินทร์
        • วิหารทวารวดี
        ภาคตะวันออก
        • ป่าเจดีย์
        • ปราสาทสด๊กก๊อกธม สระแก้ว
        • โรงละคร
        • ศาลาโถงวัดนิมิตร ตราด
        • สวนพระอภัยมณี ระยอง
        • ป้อมและกำแพงเมืองฉะเชิงเทรา
        • ตึกแดง จันทบุรี
        ภาคใต้
        • พระแท่นที่ประทับ
        • ศาลาหน้าเมือง
        • ประตูเมือง
        • สวนอิเหนา
        • ศาลาในเมือง
        • สวนมโนห์รา
        • พระบรมธาตุ นครศรีธรรมราช
        • เทวรูปปัลลวะ พังงา
        • พระบรมธาตุไชยา สุราษฎร์ธานี
        • ตลาดโบราณ
        • ศาลาการเปรียญวัดใหญ่สุวรรณาราม เพชรบุรี
        • หอพระไตรปิฎก
        • หอระฆัง
        • พระปรางค์วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ราชบุรี
        ส่วนรังสรรค์
        • ศาลาทศชาติ
        • เสาชิงช้าและโบสถ์พราหมณ์
        • เขาพระสุเมรุ
        • ศาลาฤษีดัดตน
        • ขบวนเสด็จพยุหยาตรา ทางชลมารค
        • มณฑปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร (เจ้าแม่กวนอิม)
        • พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ปางแสดงปาฏิหาริย์
        • ศาลารามเกียรติ์
        • มณฑปพระธาตุ
        • สวนพฤกษชาติในวรรณคดีไทย
        • ศาลาพระอรหันต์
        • สะพานรุ้ง
        • ศาลาระลึกชาติ
        • เรือสำเภาไทย
        • ศาลา ๒๔ กตัญญู
        • ศาลาขงเบ้ง
        • มณฑปพระสี่ทิศ
 

วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2559

โค้กทอด

      โค้กทอด
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ โค้กทอด

สิ่งที่ต้องใช้:

  1. ไข่ 3 ลูก
  2. โค้ก 2 ถ้วย
  3. น้ำตาลทราย ¼ ถ้วย
  4. แป้งอเนกประสงค์ 4 ถ้วย
  5. ผงฟู 2 ช้อนชา
  6. เกลือ ½ ช้อนชา
  7. น้ำมันพืช เอาไว้ทอด
  8. น้ำตาลไอซิ่ง
  9. หม้อทอด หรือ กระทะก้นลึก
  10. น้ำเชื่อมโค้ก (ถ้าหาซื่อได้ ควรใส่ แต่ถ้าไม่มีไม่เป็นไร)
  11. วิปครีม (ไม่ใส่ก็ได้ แล้วแต่)
  12. อบเชยผง (ไม่ใส่ก็ได้ แล้วแต่)

วิธีทำ:


  1. ตีไข่ เมื่อตีเสร็จ ใส่ โค้ก และ น้ำตาล
  2. ผสมแป้งอเนกประสงค์ 2 ถ้วย กับ ส่วนผสมโค้ก เข้าด้วยกัน แล้วค่อยๆ ใส่ แป้งอเนกประสงค์ อีก 2 ถ้วยระหว่างการคน คนผสมจนเนียนแต่ไม่ข้นจนเกินไป
  3. ตั้งไฟในหม้อทอดที่อุณหภูมิ 190 องศาเซลเซียส หรือ ถ้าไม่รู้อุณหภูมิ ให้ดูจนน้ำมันเดือด
  4. ปั้นส่วนผสมแป้งโค้กที่ได้ให้เป็นลูกบอลใหญ่ประมาณ ครึ่งนิ้ว แล้วหย่อนลงไปในน้ำมัน
  5. ทอดประมาณ 2- 3 นาทีจนเป็นสีเหลือง แล้ว ตัก โค้กทอด ลูกกลมๆ ออกแล้ววางไว้บนกระดาษทิชชูเพื่อซับน้ำมัน
  6. นำ โค้กทอด มาคลุกกับน้ำตาลไอซิ่งในตอนที่ยังร้อนอยู่
  7. นำมาใส่ถ้วยแล้วราดด้วยน้ำเชื่อมโค้ก
  8. โปะหน้าด้วยวิปครีม แล้วโรยด้วยอบเชยผง
  9. เสร็จแล้วเสิร์ฟได้!!!

วันพุธที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2559

ดอกจันทร์กะพ้อ

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ดอกจันทน์กะพ้อ
ดอกจันทร์กะพ้อ
       จันทน์กะพ้อ เป็นพันธุ์ไม้ พวกเดียวกับยางนาและพะยอม บางพื้นที่ทางภาคใต้เรียก จันทน์พ้อ หรือ จันพอและที่จังหวัดพังงาเรียก เขี้ยวงูเขา
       จันทน์กะพ้อเป็นไม้ต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง (สูงประมาณ 5 - 15 เมตร) ต้นค่อนข้างตรง เปลือกเกลี้ยง เรือนยอดเป็นพุ่มรีหรือกว้างใบเป็นใบเดี่ยว รูปรียาว ขนาดยาว 7 - 9 เซนติเมตร กว้าง 2 - 3 เซนติเมตร สีเขียวเข้ม เรียงตัวแบบเวียนไปตามกิ่งห่างๆ กัน ดอกออกตามกิ่งเป็นช่อเล็กๆ ทยอยบานครั้งละ 1 - 2 ดอก แต่มักจะมีช่อหลายช่อเป็นกระจุกและเรียงเป็นระยะๆ ตามกิ่งดอกขนาด 1.2-1.5 เซนติเมตร กลีบเลี้ยงมีขนสีน้ำตาลกลีบดอกเรียงเวียนซ้อนเกยกันเล็กน้อย ด้านในสีขาวนวลหรืออมชมพู ด้านนอกมีแถบแคบๆ มีขนละเอียดสีน้ำตาลอมแดง กลิ่นหอมแรง ออกดอกในช่วงเดือนมกราคม-เมษายน
      จันทน์กะพ้อชอบขึ้นอยู่ตามริมน้ำ บริเวณที่มีน้ำท่วมหรือน้ำหลาก ชอบอยู่กลางแจ้งที่มีความชื้นในอากาศค่อนข้างสูง โตช้า ปลูกเลี้ยงค่อนข้างยาก ถ้าแดดจัดหรือลมแรงใบจะไหม้ ปัจจุบันจึงพบเห็นจันทน์กะพ้อน้อยลง สำหรับการขยายพันธุ์จันทน์กะพ้อนั้นทำโดยเพาะเมล็ด ใช้เวลาเพียง 1 เดือนรากก็เริ่มงอกแทงออกมา เมื่อต้นกล้าอายุ 1 ปี จะมีความสูงประมาณ 30 เซนติเมตร และมีใบ 4-7 ในปีที่ 2 ต้นกล้าจะเจริญอย่างรวดเร็วและสูงประมาณ 1 เมตร ในช่วงนี้ถ้าปลูกในกระถาง ควรเปลี่ยนกระถางให้มีขนาดไม่ต่ำกว่า 10 นิ้ว หรือถ้าปลูกลงดินจะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว มีทรงพุ่มแผ่กว้าง เมื่ออายุ 5-7 ปี จะมีความสูง 2.5-5 เมตร และเริ่มออกดอก
ประโยชน์ของดอกจันทร์กะพ้อ
ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ ดอกมีกลิ่นหอมค่อนข้างแรงมากและสามารถนำดอกมาปรุงเป็นยาหอม แก้ลม และบำรุงหัวใจ

วันพุธที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2559


ขนมทองพลุ
“ขนมทองพลุ” อีกหนึ่งขนมมงคลของไทย มีความหมายถึง “ความเจริญ มีชื่อเสียงโด่งดังเหมือนพลุ” ขนมชนิดนี้จริง ๆ มีต้นตำรับมาจากฝรั่งเศส ดัดแปลงมาจากขนมเอแคลร์ ต่างกันตรงที่ขนมเอแคลร์ใช้อบและมีไส้ ส่วนขนมทองพลุจะใช้วิธีทอดเอา ดังนั้นถ้าใครทำขนมเอแคลร์ได้ ก็ทำขนมทองพลุได้เช่นกัน
ขนมทองพลุถูกจัดเป็นขนมชาววัง เพราะสมัยก่อนคนที่จะได้กินขนมที่ใส่นมหรือเนยนั้น ก็มีแต่ชาววัง ข้าราชการชั้นสูงหรือระดับเจ้าสัว ส่วนคนไทยแท้ดั้งเดิมที่เป็นไทยแท้ๆ พื้นบ้านที่ไม่ใช่ลูกแขกจะไม่ค่อยนิยมกินขนมชนิดนี้ด้วยเหตุผลที่ว่า นมหรือเนยมีกลิ่นเหม็นคาว ปัจจุบันขนมทองพลุถูกดัดแปลงให้มีทั้งไส้หวานและเค็ม
   
เครื่องปรุง  ส่วนผสม
 แป้งสาลี 1 ถ้วย
 ไข่ไก่ 3 ฟอง
 น้ำสะอาด 1 ถ้วย
 เนยสด 3/4 ถ้วย
 เกลือ 1/4 ช้อนชา
 น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ
 น้ำมันสำหรับทอด

วิธีทำ
1. ตั้งน้ำในหม้อจนเดือด จากนั้นจึงใส่เกลือ และเนยสด คนให้ละลายเข้ากันดี
2. ค่อยๆ ใส่แป้งสาลีลงไปในหม้อ ตามด้วยน้ำตาล จากนั้นลดเป็นไฟอ่อน กวนจนแป้งสุก และส่วนผสมทุกอย่างเข้ากันดี จึงนำไปใส่หม้อตีแป้ง และใช้เครื่องตี เมื่อแป้งเริ่มคลายความร้อนแล้ว จึงใส่ไข่ไก่ลงไปทีละฟองจนหมด ตีจนแป้งและ ไข่เข้ากันเป็นเนื้อเดียว เนียนสวย เป็นอันเสร็จ
3. ตั้งน้ำมันในกระทะบนไฟร้อนปานกลาง ตักส่วนผสมแป้งที่เตรียมไว้ลงไปทอด ครั้งละประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ โดยใช้นิ้วปาดส่วนผสมให้หล่นลงไปในกระทะ เพื่อให้ ได้รูปทรงกลม ทอดจนขนมพองตัวและสุก เหลืองดี จึงตักขึ้นมาสะเด็ดน้ำมัน พักไว้
4. นำขนมเสริฟพร้อมไส้ที่เตรียมไว้ ถ้าเสริฟทองพลุไส้เค็ม ให้นำมีดมาผ่าตัวขนมทองพลุ ให้มีช่องพอประมาณ จากนั้นจึงตักใส้เค็มที่ทำเตรียมไว้ ใส่ลงไปในขนมก่อน จึงค่อยนำเสริฟ
หมายเหตุ : สำหรับไส้หวาน ทำได้ง่ายๆ โดยนำ น้ำเชื่อมผสมกับน้ำแดง หรือจะจิ้มกับ น้ำผึ้ง, น้ำตาล หรือน้ำเชื่อมข้นๆ เลยก็ได้
สำหรับไส้เค็ม : ทำได้โดยนำหอมใหญ่หั่นเต๋า (1/4 ถ้วย), แครอทต้มหั่นเต๋า (1/4 ถ้วย), ไก่ต้มหั่นเต๋า (1/2 ถ้วย) ผัดเข้าด้วยกันกับน้ำมัน (1/4 ถ้วย) ปรุงรสด้วยน้ำตาลทราย (1 ช้อนชา), เกลือป่น (1/4 ช้อนชา), ซ๊อสปรุงรส (1 ช้อนโต๊ะ) และพริกไทย (1/4 ช้อนชา) ผัดจนเข้ากัน ทิ้งไว้ให้เย็นและนำไปใส่ไส้ในตัวขนมทองพลุ

วันพฤหัสบดีที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2559

 ปรัวัติวันวิทยาศาสตร์
รัฐบาลไทยกำหนดให้วันที่ 18 สิงหาคม เป็นวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ เนื่องจากวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2411 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินชลมารคและสถลมารค ทอดพระเนตรสุริยุปราคาเต็มดวง ที่ทรงคำนวณพยากรณ์ไว้ล่วงหน้า 2 ปี ว่าจะเกิดในวันอังคาร ขึ้น 1 ค่ำ เดือน 10 ปีมะโรง สัมฤทธิศก จุลศักราช 1230 โดยจะเห็นหมดดวงและชัดเจนที่สุด คือ ที่หมู่บ้านหัววาฬ ตำบลหว้ากอ อำเภอเมือง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ตั้งแต่บริเวณ เกาะจาน ขึ้นไปถึง ปราณบุรี และลงไปถึง จังหวัดชุมพร จึงโปรดฯ ให้เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ไปสร้างค่ายหลวงและพลับพลาที่ประทับ มีคณะนักดาราศาสตร์จากประเทศฝรั่งเศส และเซอร์แฮรี ออด เจ้าเมืองสิงคโปร์ เดินทางมาเข้าเฝ้าฯ และร่วมในการสังเกตการณ์ และต่อมาได้มีการสร้าง"อุทยานวิทยาศาสตร์" ที่อำเภอบ้านหว้ากอ  ผลการคำนวณของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแม่นยำมาก โดย เซอร์แฮรี ออด ได้บันทึกเหตุการณ์ไว้ ซึ่งต่อมาหม่อมหลวงปิ่น มาลากุล ได้แปลเป็นภาษาไทยในงานหว้ากอรำลึก ณ ท้องฟ้าจำลองกรุงเทพฯ เมื่อ พ.ศ. 2518 ว่า "พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระสำราญมาก เพราะการคำนวณเวลาสุริยุปราคาของพระองค์ ได้พิสูจน์แล้วว่าถูกถ้วนที่สุด ถูกถ้วนยิ่งกว่าที่ชาวยุโรปได้คำนวณไว้"ต่อมา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงรับเอาศิลปวิทยาการ และความคิดสมัยใหม่มาประยุกต์ใช้ในการปกครองประเทศ ด้วยเหตุนี้องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) จึงได้ประกาศยกย่องพระเกียรติคุณของพระองค์ให้ทรงเป็นบุคคลสำคัญของโลก ด้วยพระราชกรณียกิจและพระเกียรติคุณนานัปการ โดยเฉพาะพระราชกรณียกิจด้านดาราศาสตร์ ทั้งนี้ สมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ โดยเฉพาะทางด้านดาราศาสตร์ มีแนวคิดว่าน่าจะถือเอาวันที่ 18 สิงหาคมเป็นวันวิทยาศาสตร์ไทย ต่อมาวันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2525 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็น "พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย" พร้อมทั้งกำหนดให้วันที่ 18 สิงหาคม เป็น "วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ" และเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2511 ได้มีการจัดงานขึ้นเนื่องในโอกาสครบรอบ 100 ปีของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น 

          

          

วันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ประวัติวันแม่

ประวัติวันแม่
 ประวัติวันแม่แห่งชาติ แต่เดิมนั้น วันแม่ของชาติได้กำหนดเอาไว้วันที่ 15 เมษายนของทุก ๆ ปี ทั้งนี้เป็นไปตามมติของคณะรัฐมนตรีประกาศรับรอง เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2493 ซึ่งได้พิจารณาเห็นว่าการจัดงานวันแม่ของสำนักวัฒนธรรมฝ่ายหญิง สภาวัฒนธรรมแห่งชาติผู้รับมอบหมายให้จัดงาน วันแม่ มาตั้งแต่วันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2493 เป็นครั้งแรกเป็นต้นมานั้นได้รับความสำเร็จด้วยดี ด้วยประชาชนให้การสนับสนุน จนสามารถขยายขอบข่ายของงานให้กว้างขวางออกไป  

          มีการจัดพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา การประกวดคำขวัญวันแม่ การประกวดแม่ของชาติ เพื่อให้เกียรติและตระหนักในความสำคัญของแม่ และเพื่อเพิ่มความสำคัญของวันแม่ให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ด้วยเหตุนี้งานวันแม่จึงเป็นวันแม่ประจำปีของชาติตามประกาศของรัฐบาลฯพณฯ จอมพล ป. พิบูลสงคราม แต่โดยทั่วไปเรียกกันว่าวัน แม่ของชาติ  

          ต่อมาถึง พ.ศ. 2519 ทางราชการได้เปลี่ยนใหม่ให้ถือเอาวันเสด็จพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ คือ วันที่ 12 สิงหาคม วันแม่แห่งชาติ เริ่มในปี พ.ศ. 2519 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน 
วันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคมของทุกปีเป็นวันแม่ ภาษาอังกฤษ คือ Mother Day ซึ่งวันนี้ถือตามวันเสด็จพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ โดยเริ่มมาตั้งแต่ พ.ศ. 2519 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้เพื่อให้ลูก ๆ ทุกคนควรรำลึกถึงพระคุณของแม่  
สัญลักษณ์ที่ใช้ในวันแม่


          สัญลักษณ์ที่ใช้ในวันแม่คือ ดอกมะลิ ซึ่งมีสีขาวบริสุทธิ์ ส่งกลิ่นหอมไปไกลและหอมได้นาน อีกทั้งยังออกดอกได้ตลอดทั้งปี เปรียบได้กับความรักอันบริสุทธิ์ของแม่ที่มีต่อลูกไม่มีวันเสื่อมคลาย 

วันศุกร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ขนมฝอยทอง

      ฝอยทอง  เป็นขนมโปรตุเกส ลักษณะเป็นเส้นฝอยสีทอง ทำจากไข่แดงของไข่เป็ด เคี่ยวในน้ำเดือดและน้ำตาลทราย ชาวโปรตุเกสใช้รับประทานกับขนมปัง กับอาหารมื้อหลักจำพวกเนื้อสัตว์ และใช้รับประทานกับขนมเค้ก โดยมีกำเนิดจากเมืองอาไวรู  เมืองชายฝั่งทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศโปรตุเกส ฝอยทองแพร่เข้ามาในประเทศไทย พร้อมกับทองหยิบและทองหยอด ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราชโดยมารีอา กูโยมาร์ เด ปิญญา  ลูกครึ่งโปรตุเกส-ญี่ปุ่น ภริยาของเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ (คอนสแตนติน ฟอลคอน) ท้าวทองกีบม้ามีหน้าที่เป็นหัวหน้าห้องเครื่องต้น เป็นผู้ทำอาหารเลี้ยงต้อนรับคณะราชทูตจากฝรั่งเศสที่มาเยือนกรุงศรีอยุธยาในสมัยนั้น  ทั้งนี้ฝอยทอง ปรากฏอยู่ใน กาพย์เห่ชมเครื่องคาว-หวาน บทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ที่พระราชนิพนธ์ชมเชยฝีพระหัตถ์ในการแต่งเครื่องเสวยของสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี ความว่า
ฝอยทอง เป็นยองใยเหมือนเส้นไหมไข่ของหวาน
คิดความยามเยาวมาลย์เย็บชุนใช้ไหมทองจีนฯ